วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ประสบการณ์ชีวิต (1)

    สวัสดีผู้อ่านที่เข้ามาอ่านนะคะ  ก็บทความนี้ก็คิดอยู่นานมากจะเขียนเรื่องอะไรดี  ไม่อยากปล่อยให้บล็อคเงียบๆ เลยลองเขียนเรื่องส่วนตัว ประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตดีกว่า ว่ากว่าที่จะมาเป็นแบบนี้ ที่เห็นในทุกวันนี้ อดีตเป็นยังไง
    เริ่มแรกเราก็จัดว่าเป็นเด็กที่ขี้แยมากๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะร้องไห้อะไรหนักหนา และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนถึงต้องชอบแกล้งเสมอ คงด้วยความที่ตัวเล็กและเป็นเด็กใหม่ตลอด ที่บอกว่าเป็นเด็กใหม่ตลอดเพราะตัวเราเองจะต้องย้ายโรงเรียนตามพ่อและครอบครัวบ่อยมาก โรงเรียนที่ย้ายก็ประมาณ 8 - 9 ที่ ด้วยความที่พ่อรับราชการเลยต้องย้ายเสมอ ทำให้ตั้งแต่เ็กจนโตน้อยมากที่จะมีเพื่อนสนิท เพราะอยู่ด้วยกันแค่แปปเดียวก็แยกจากกัน แต่ในทางกลับกันก็ดีใจจะไ้ด้ไม่ต้องเจอคนที่ไม่ชอบหน้าอีก เรื่องการบ้ายที่อยู่มันคงติดเป็นนิสัยจนมาถึงตอนโตนี้เลย ขนาดพ่อเสียไปแล้ว แต่ตัวเราเองก้ไม่อาจจะอยู่ที่ไหนเกิน 5-6 ปีได้ มันจะรู้สึกว่าอยากไปอยู่ที่ใหม่อีก อยากไปเจอที่ใหม่อีก 555+ นิสัยไม่ดีเลย
      เอาไว้วันหลังจะมาเขียนต่อนะคะ แล้วพบกันในบทความต่อไปค่ะ บายยยย

วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

Marketing 3.0 for education

มีกลยุทธ์อะไรบ้างที่เกิดขึ้น 


1. การรู้จักเตรียมพร้อม โดยการที่มีการกะเวลาในการตั้งร้านก่อนตลาดจะเริ่มขายของ
2. การที่มีการหมุนเวียนกันมาเฝ้าร้าน เพื่อสามารถขายสินค้าได้ตลอดเวลา ทำให้สามรถแบ่งกันไปทำหน้าที่อื่นๆได้
3. การรู้จักจัดสรรเวลา ว่าในแต่ล่ะวันควรทำสิ่งใดก่อนหลังเพื่อไม่ให้เวลาเสียปล่าว
4. การที่พ่อของผู้เขียนสั่งให้จดบันทึกข่าวที่นั่งฟังในทุกเช้า ทำให้ผู้เขียนได้ฝึกทักษะการเขียน การฟังสมาธิ และได้รับความรู้ไปด้วย

หากจะมีการประยุกต์ใช้ Marketing 3.0 for education ควรจะกำหนดกลยุทธ์เป็นอย่างไร


             การจะนำกลยุทธ์เกี่ยวกับ Marketing 3.0 for education มาใช้ในการศึกษา ประเด็นหลักของกลยุทธ์นี้คือการโต้ตอบกัน ดังนั้น ผู้เรียนผู้สอนจึงจะต้องมีการโต้ตอบกันด้วยเช่นกัน ไม่ใช่เป็นการรับความรู้จากผู้สอนเพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป ผู้เรียนมีส่วนให้การนำเสนอความคิดเห็นว่า เนื้อหาที่จะนำมาใช้ในการศึกษาควรเป็นแบบใด  และมีขอบเขตเช่นไร การเรียนรู้กิจกรรมต่างๆต้องการเพิ่มเติมสิ่งใดบ้าง

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

งานที่ 11 Social Media เครื่องมือของผู้บริโภคในยุคการตลาด 3.0

 การสร้าง Brand โดยการใช้ IT กับ การตลาดยุด 3.0 จะสัมพันธ์กันอย่างไร
    
        จุดหลักสำคัญของการตลาดยุค 2.0 กับ 3.0 ก็คือ ในยุค 3.0 ผู้บริโภคไม่ได้แต่เป็นเพียงฝ่ายตั้งรับแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่สามารถสื่อสารโต้ตอบกลับไปยังกิจการที่ผลิตสินค้าหรือบริการ ตลอดรวมถึงสื่อสารระหว่างผู้บริโภคด้วยกันเอง ผู้บรโภคสามารถที่จะใช้สื่อ Social Media เป็นเครื่องมือสำคัญของผู้บริโภคที่จะสะท้อนถึงความต้องการที่แท้จริงของพวกเขา เมื่อผู้บริโภคแสดงความคิดเห็นของไปสู่สาธารณะ สามารถโน้มน้าวความคิดและความรู้สึกของผู้บริโภครายอื่นๆให้เกิดความคล้อยตาม ทั้งนี้ความคิดเห็นเหล่านี้กลับได้รับความเชื่อถือมากกว่าสารโฆษณาผ่านสื่อแบบเดิม อย่างพวกโทรทัศน์ วิทยุ หรือพวกหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารเสียอีก เกือบร้อยทั้งร้อย ที่จะบอกว่าเลือกเชื่อเพื่อนมากกว่าเชื่อสื่อ
        ทำให้การสร้าง Brand ในปัจจุบันที่ใช้สื่อ Social Media เป็นเครื่องมือสำคัญจะต้องเป็นกระแสที่มาจากปากต่อปาก น่าเชื่อถือ และลักษณะขององค์กรที่มีความดูแลเอาใจใส่ผู้บริโภคมากขึ้นจึงจะได้รับความนิยม

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

งานครั้งที่ 10

ท่านคิดว่าจะมีกลยุทธ์อย่างไรในการนำ Social media ต่างๆ ไปใช้ในการทำธุรกิจ
   คนในสังคมเรายังไม่นิยมในการสั่งสินค้าบนอินเตอร์เน็ต เนื่องจากยังขาดความเชื่อมั่นและกลัวเป็นมิจฉาชีพมาหลอกด้วย การจะนำกลยุทธ์มาใช้ในการพัฒนาธุรกิจบน Social media  คือ
1. เราต้องสร้างแบรนที่ได้รับมาตรฐานและการยอมรับ
2. ในเมื่อคนส่วนใหญ่ยังรับสื่อโทรทัศน์มาก ดังนั้นรับก็โปรโมทบนโทรทัศน์และสื่อต่างๆไปด้วย เพื่อในคนรู้จัก
3. เมื่อเราเป็นที่รู้จักแล้ว สินค้า ผลิตภัณฑ์ของเราต้องมีคุณภาพ ไม่ใช่สินค้าที่ดีแต่ชื่อ ซื้อมาเสียงความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้ เราต้องทำให้ได้รับมาตรฐาน
4. และมีบริการลูกค้าที่ดี ทั้งด้านบริการหลังการขาย การติดต่อสอบถามของลูกค้าด้วย
5. เราต้องนำสื่อต่างๆมาช่วยในการส่งเสริมการขาย ไม่ว่าจะทำช่องนำเสนอสินค้าบนyoutube หรือ APPบนมือถือ เพื่อให้ลูกค้าสะดวกสบาย

ท่านคิดว่ามีกลยุทธ์อย่างไรที่จะให้ประชาชนใช้ Social media ให้มีจำนวนมากยิ่งขึ้น
   
    การที่ประชาชนมีการใช้ Social media ค่อนข้างน้อยอยู่ หากคิดจากประชากรทั้งหมด เนื่องจากธุรกิจบน Social media ของไทยเราเริ่มช้ากว่าเพื่อนบ้าน ดังนั้นเราจึงกำลังเพิ่งเติมโตนั่นเอง กลยุทธ์ที่จะทำให้ประชาชนไทยมาใช้ Social media มากขึ้น คือการแทรกซึมเทคโนโลยีต่างๆไปในชีวิตประจำวันของคนเรามากขึ้น เช่น การทำเทคโนโลยีต่างไปช่วยในกิจวัตรประจำวันมากขึ้น เป็นต้น เมื่อคนเราเริ่มเปิดใจรับเทคโนโลยีมากขึ้นก็จะเริ่มรู้จักเริ่มลอง และเรียนรู้ที่จะใช้ Social media เพราะเมื่อมีคนรอบข้างใช้ทำให้ตนก็ต้องเริ่มใช้เหมือนกัน

งานครั้งที่ 9

1. การเขียนโครงการแบบ SMART  คืออะไร
หลัก SMART  คือ
           S = Sensible and Specific (เฉพาะเจาะจง)  คือ ต้องมีความเป็นไปได้และมีความเฉพาะเจาะจงในการดำเนินการโครงการ
           M = Measurable (วัดได้) คือ ต้องสามารถวัดและประเมินผลระดับของความสำเร็จได้
           A = Attainable (ระบุสิ่งที่ต้องการ) คือ ต้องระบุถึงการกระทำที่สามารถปฎิบัติได้ มิใช่สิ่งเพ้อฝัน
           R = Reasonable and Realistic  (สมเหตุสมผล) คือ ต้องระบุให้มีความเป็นเหตุเป็นผล และสอดคล้องกับความเป็นจริง           
          T = Time  (เวลา) ต้องมีการกำหนดขอบเขตของเวลาที่จะกระทำให้สำเร็จได้อย่างชัดเจน

2. ถ้าจะใช้ ICT ทำให้วิสัยทัศน์เป็นจริง เราจะใช้ชื่อโครงการอะไร
 "UBON GUIDE เที่ยวอุบลเหมือนมีคนอุบลพาเที่ยว" Application ที่จะแนะนำและเล่าประวัติต่างๆตลอดการเดินทางมาเที่ยว

วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

กลยุทธ์ในการปรองดอง



         เหตุที่สังคมแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายที่สำคัญนั้น  เพราะแต่ละฝ่ายที่จัดตั้งเป็นแต่ละกลุ่ม  เล็งเห็นประโยชน์ของกลุ่มตนเป็นหลัก  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการปรองดองจึงไม่เกิดขึ้น  เนื่องจากหากนำประโยชน์สูงสุดของแต่ละกลุ่มจึงไม่มีกลุ่มใดได้ประโยชน์สูงสุดเลย  ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มหรือเป็นปัจเจกต่างกันที่ขนาดเท่านั้น  เมื่อนำทุกกลุ่มมาพูดคุยถึงสิ่งที่แต่ละกลุ่มเป็นอยู่  ให้ทุกกลุ่มคิดให้ตรงกันว่าประโยชน์สูงสุดของทุกกลุ่มรวมกันอยู่จุดใด  แน่นอนว่าหากใช้หลักคิดเช่นนี้ทุกกลุ่มจะต้องเสียประโยชน์  ซึ่งหลักการไม่ต่างจากปัจเจก  เพราะผู้ที่ทำเพื่อผู้อื่นสูงสุดคือผู้ที่เสียผลประโยชน์ส่วนตัวสุงสุดเช่นกัน
         หมายความว่าการจะปรองดองได้  จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างพื้นฐานให้แต่ละคนมีเจตนาทำเพื่อผู้อื่นมากกว่าตนเองเสียก่อน  การกระทำสิ่งใดนั้นต้องเริ่มที่ตนเอง  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเป็นความรุนแรงรวมทั้งเกิดมิขสัญญี  ล้วนแล้วแต่เกิดจากการที่แต่ละคนทำเพื่อตนเองเป็นหลัก  เมื่อเกิดความรุนแรงขึ้นในสังคมจึงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเหตุนั้นมาจากแต่ละคน  โดยเริ่มต้นจากผู้มีเจตนาให้ผุ้อื่นยอมรับ  เมื่อตนเองทำอะไรผิดไปจะไม่ค่อยยอมรับสิ่งที่ตนกระทำเอาไว้  กลายเป็นการพยายามหาข้อแก้ตัวเพื่อให้ตนไม่ผิดหรือเป็นฝ่ายชนะ  ในขณะที่ผู้อื่นล่วงรู้การกระทำผิดของตน  เมื่อตนที่ทำผิดยิ่งสู้เพื่อที่จะเอาชนะ  จากเดิมที่ตนรู้อยู่แก่ใจว่าตนนั้นทำผิดพัฒนาไปสู่การยืนกรานต่อคนอื่นว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิด  พัฒนาไปสู่ความเชื่อที่คิดว่าตนไม่ผิด  พัฒนาไปสู่การเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตนเอง  ท้ายสุดเมื่อตนเองไม่ได้ในสิ่งที่คิดว่าตนเองไม่ได้ในสิ่งที่ตนเองคิดว่าสมควรได้  จึงนำไปสุ่ความคิดที่ว่าถ้าตนไม่ได้คนอื่นก็ไม่ได้แล้วต้องล่มจมไปด้วยกัน
         การปรองดองจึงไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลยหากแต่ละคนแต่ละกลุ่มยังมีอุดมการทำเพื่อตนเองอยู่  บุคคลย่อมมีเจตนาทำเพื่อตนเองมากกว่าผุ้อื่นได้  การรวมตัวของแต่ละคนกลายเป็นกลุ่มย่อมมีการรวมกลุ่มในการทำเพื่อกลุ่มตนเองมากกว่ากลุ่มอื่นส่วนใหญ่เช่นกัน  แต่ละคนทำเพื่อตนเองมารวมกันเป็นกลุมจะเป็นการรวมตัวเพื่อทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อกลุ่มตนเอง  ประโยชน์ของใครอยุ่ที่ใดก็ไปรวมกลุ่มที่ทำเพื่อประโยชน์เช่นนั้น  การรวมกลุ่มเช่นนี้เป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบในการอยุ่ร่วมกันด้วยความปรองดอง  หากมีกลุ่มเช่นนี้รวมอยุ่ในสังคมมากสังคมทั้งสังคมนั้นอาจล่มสลาย  ที่เห็นชัดกลุ่มใดที่มีพลังมากที่สุดจะเป็นต้นเหตุสำคัญในการทำให้เกิดมิขสัญญีแล้วทำให้สังคมนั้นทั้งสังคมล่มสลายได้


วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

งานที่ 7 จ้า Hollywood Model

คำถามข้อที่ 1

Hollywood Model จะประยุกต์ใช้กับระบบสารสนเทศได้อย่างไร?





การที่จะนำมาใช้น่าจะเป้นเรื่อง การทำงาน จากปรกติเองในบริษัทหนึ่งๆจะมีการจ้างงานที่จะต้องมีพนักงานประจำในเรื่องนั่นๆอยู่ แต่หากว่างานยังไม่มี จ้าของบริษัทก็ต้องมาเสียเงินค่าจ้างในการทำงานของพนักงานโดยที่ไม่ได้มีงานให้ทำเต็มที่ ดังนั้น การนำ Hollywood Model มาใช้คือการว่าจ้างงานเป็นโครงการในแต่ล่ะครั้ง ซึ้งจะได้บุคคลทำงานที่เฉพาะเจาะจงและมีประสบการณ์ในการทำงานนั้นอย่างจริงจัง เช่น หากตัวบริษัทต้องการซอฟแวร์หรือเว็ปไซต์ที่เหมาะกับตัวบริษัทเองโดยตรง แต่ไม่อยากต้องจ้างพนักงานมาอยู่ประจำ เสียเงินเดือนตลอดก็จ้างตัวบริษัทอื่นที่รับทำมาทำงานให้เป็นโครงการไปในแต่ล่ะเรื่อง จะทำให้พนักงานที่มีไม่จำเป็นต้องผูกขาดตลอด

คำถามข้อที่ 2

Hollywood Model จะประสำเร็จขึ้นอยู่กับปัจจัยใดบ้าง?


1. คนที่จะมาเป็นผู้อำนวยการโครงการ(Producer) จะต้องมีความสามรถสูง รู้จริง รู้ลึกในเรื่องที่จะทำ บริหารต้องเก่ง
2.  เป็นการแบ่งงานตามความถนัดให้กับบุคคล หรือคณะบุคคล ไปทำตามเงื่อนไข ระยะเวลาที่กำหนด โดยที่ทุกๆ คน จะรับทราบ เข้าใจดีถึงเป้าหมาย และผลสำฤทธิ์ของงาน 
3. ทำให้ลดค่าใช้จ่ายประจำได้มากมาย คนทำงานก็มีอิสระในการทำงานเป็นอย่างยิ่ง